เลือกประเทศ / ภูมิภาคของคุณ

การกำกับดูแลความยั่งยืนและ ESG

การรับมือระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับความยั่งยืน: การลดผลกระทบของ PPE

เมื่อผู้คนทั่วโลกเริ่มตระหนักถึงปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ธุรกิจต้องเผชิญกับความท้าทายสองด้าน ทั้งการดำเนินงานด้านความยั่งยืนให้ได้ตามเป้าหมาย และการต้องปฏิบัติตามข้อบังคับที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ภาคธุรกิจหนึ่งที่ได้รับผลกระทบอย่างเห็นได้ชัดก็คืออุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล (PPE) คำถามคือแล้วเราจะลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและรักษาประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ไปพร้อมๆ กันได้อย่างไร

เราได้สอบถามความคิดเห็นผู้นำทางความคิดด้านความยั่งยืนสามท่านเกี่ยวกับวิธีรับมือกับระเบียบข้อบังคับด้านความยั่งยืนที่เข้มงวดมากขึ้นเรื่อยๆ ให้เหนือกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดไว้  รวมทั้งตอบสนองความต้องการของตลาดและปฏิบัติตามข้อบังคับและแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแล (ESG) ในภาพรวมไปพร้อมๆ กัน


ขอเชิญพบกับผู้เชี่ยวชาญของเรา


คุณ Guido Van Duren ทำงานกับ Ansell มากว่า 34 ปีแล้ว ในฐานะผู้อำนวยการฝ่ายกำกับดูแลการปฏิบัติตามข้อบังคับระดับโลก คุณ Guido ถือเป็นผู้ทรงความรู้ประจำบริษัทในทุกด้านเกี่ยวกับการรับรอง กฎหมาย และแน่นอนว่ารวมถึงระเบียบข้อบังคับต่างๆ ด้วย นอกจากนี้ คุณ Guido ยังดำเนินงานในระดับโลกในตำแหน่งประธานสหพันธ์ PPE แห่งเบลเยียมที่ชื่อ Febelsafe และยังดำรงตำแหน่งประธานสหพันธ์ความปลอดภัยแห่งยุโรป (ESF) ควบคู่ไปด้วย

คุณ Indiana de Seze ดำรงตำแหน่งเป็นรองผู้อำนวยการฝ่ายรัฐกิจสัมพันธ์ของ Ansell เธอสนใจผลกระทบของกระบวนการผลิตต่อสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมาก จึงให้ความสำคัญกับการใช้วัตถุดิบ องค์ประกอบของผลิตภัณฑ์ และแนวทางจัดการผลิตภัณฑ์ที่สิ้นสุดอายุการใช้งานแล้ว เช่น การรีไซเคิล ก่อนหน้านี้ คุณ Indiana เคยดำรงตำแหน่งเกี่ยวกับการกำกับดูแลและมีประสบการณ์ทำงานล็อบบี้ทางกฎหมายกับสมาคมการค้ามาก่อน




คุณ Nalise Hahn เป็นที่ปรึกษาด้านความยั่งยืนและมีประสบการณ์ด้านการกำกับดูแลการปฏิบัติตามกฎระเบียบและความท้าทายเกี่ยวกับ ESG มาเกือบเก้าปี เธอเชี่ยวชาญด้านกลยุทธ์เกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืนเป็นหลัก อีกทั้งยังร่วมมือกับธุรกิจมาแล้วมากมายเพื่อเร่งรัดการสร้างการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี คุณ Nalise มีใจรักที่จะขับเคลื่อนแนวทางการแก้ไขปัญหาที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงในด้านความยั่งยืน



หมายเหตุจากบรรณาธิการ:
นโยบายส่วนใหญ่ที่กล่าวถึงในเอกสารฉบับนี้เกี่ยวข้องกับระเบียบข้อบังคับด้านความยั่งยืนของสหภาพยุโรปเป็นหลัก เนื่องจากสหภาพยุโรปวางเกณฑ์มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดและมักจะมีอิทธิพลต่อนโยบายอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกันทั่วโลก ถึงแม้ว่าเราจะใช้กรอบแนวคิดของสหภาพยุโรปเป็นแนวทางพื้นฐาน แต่ก็ให้ความสำคัญกับระเบียบข้อบังคับด้านความยั่งยืนในภูมิภาคอื่นๆด้วย เพื่อรับรองว่าเราจะเท่าทันพัฒนาการล่าสุดจากทั่วโลก


ผนวกรวมการกำกับดูแลการปฏิบัติตามข้อบังคับเข้ากับกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนเพื่อให้ตอบโจทย์ผู้เกี่ยวข้อง

ในหลายๆ อุตสาหกรรม ผู้คนมักจะมองว่าการปฏิบัติตามกฎระเบียบด้านความยั่งยืนและข้อกำหนดด้านการกำกับดูแลเป็นเหรียญสองด้าน ถึงแม้ว่าการกำกับดูแลการปฏิบัติตามระเบียบจะเป็นข้อกำหนดพื้นฐานสำหรับธุรกิจ แต่ความยั่งยืนก็จะช่วยให้เราแตกต่างจากคู่แข่งมากขึ้น ดังที่คุณ Guido กล่าวไว้ว่า:

“เมื่อเราพูดถึงความยั่งยืน จะมีโครงการริเริ่มมากมายที่ไม่เกี่ยวข้องกับการกำกับดูแล เช่น ในกรณีของ Ansell เราทำอะไรมากมายเพื่อลดปริมาณการใช้บรรจุภัณฑ์ นำพลังงานกลับมาใช้ใหม่ ฯลฯ ซึ่งยังไม่ได้อยู่ภายใต้ข้อบังคับใดๆ ทั้งสิ้น”

นอกจากนี้ เขายังเชื่อมั่นว่าความต้องการของลูกค้าจะช่วยเพิ่มแรงกดดันให้บริษัทผลักดันกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนขึ้นไปอีกระดับด้วย เขาเห็นว่าการบังคับให้ปฏิบัติตามข้อบังคับนั้นทำได้ยาก จึงอาจจะไม่ได้ผล หากปราศจากแรงกดดันเพิ่มเติมจากตลาดและลูกค้า คุณ Indiana ก็เห็นด้วยในเรื่องนี้เนื่องจากเธอกล่าวถึงสองปัจจัยขับเคลื่อนหลัก:

“ปัจจัยแรกคือการกำกับดูแลและกฎหมาย ระเบียบข้อบังคับที่อยู่ระหว่างพิจารณาหรือประกาศใช้ไปแล้วมีไม่มากนัก และเราก็สนใจเป็นพิเศษกับสิ่งที่เกิดขึ้นในสหภาพยุโรป ส่วนอีกปัจจัยก็คือความต้องการของตลาด การมาบรรจบกันของสองปัจจัยนี้จะทำให้เราทราบสิ่งที่เกิดขึ้นกับผลิตภัณฑ์ของเรามากขึ้น”

คุณ Nalise เคยร่วมงานกับธุรกิจมาแล้วหลายแห่งเพื่อทำความเข้าใจ ประสานงาน และยกระดับกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนของธุรกิจเหล่านั้น และเชื่อว่ามีแรงจูงใจอีกมากมายที่จะทำให้องค์กรเร่งความคืบหน้าในการดำเนินงาน

“ฉันคิดว่าธุรกิจที่มองการณ์ไกลจำนวนมากกำลังหาทางทำอะไรบางอย่างเพราะเล็งเห็นถึงข้อได้เปรียบในการแข่งขัน เพราะสำหรับบางธุรกิจแล้ว นี่เป็นการตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า และสำหรับบางธุรกิจ สิ่งนี้หมายถึงการเพิ่มประสิทธิภาพ หรือเกี่ยวกับแบรนด ซึ่งจะเป็นการยกระดับหรือปรับตัวให้ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดหรือนักลงทุนอย่างแท้จริง”

ดังนั้นจะเห็นได้ชัดว่ามีเหตุผลมากมายที่เราควรเร่งสร้างความยั่งยืน แต่ในทางปฏิบัติแล้ว เราควรจะทำอะไรบ้าง และธุรกิจจะรายงานความคืบหน้าในการดำเนินงานของตนโดยไม่ตกหลุมพรางของการลวงโลกด้านสิ่งแวดล้อม (Greenwashing)


การดำเนินการเกี่ยวกับข้อบังคับด้านสิ่งแวดล้อม นอกเหนือจากที่เกี่ยวข้องกับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์

ถึงแม้ว่าการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์จะเป็นเป้าหมายที่สำคัญของข้อบังคับด้านสิ่งแวดล้อม แต่ก็เป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งในภาพรวมของกรอบการกำกับดูแลเท่านั้น การปฏิบัติตามกฎระเบียบครอบคลุมหลายประเด็น โดยรวมถึงการใช้สารเคมีอันตรายในผลิตภัณฑ์ การขยายขอบเขตความรับผิดชอบของผู้ผลิต และความถูกต้องของค่าทางสิ่งแวดล้อม

ผู้เชี่ยวชาญทุกท่านเห็นตรงกันว่าการลวงโลกด้านสิ่งแวดล้อม เป็นปัญหาใหญ่ในอุตสาหกรรมและธุรกิจในวงกว้าง และเห็นด้วยกับคำสั่งเกี่ยวกับค่าทางสิ่งแวดล้อมที่จะกำหนดให้ธุรกิจต้องรับผิดชอบต่อการลวงโลกด้านสิ่งแวดล้อม และการกล่าวอ้างด้านความยั่งยืนที่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด

มีการกล่าวอ้างค่าทางสิ่งแวดล้อมที่ไม่ถูกต้องหรือทำให้เกิดความเข้าใจผิดมากขึ้น ส่งผลให้หน่วยงานกำกับดูแลดำเนินการอย่างเด็ดขาด ตัวอย่างเช่น ประเทศฝรั่งเศสไม่สนับสนุนให้ใช้คำต่างๆ อย่างเช่น คำว่า ‘ย่อยสลายทางชีวภาพได้’ และ ‘เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม’ เนื่องจากเป็นคำที่คลุมเครือและทำให้เกิดความสับสน สำหรับธุรกิจแล้ว นี่ทำให้เกิดแนวทางที่ชัดเจนยิ่งขึ้น แต่ก็มาพร้อมกับอุปสรรคเช่นกัน โดยเฉพาะธุรกิจที่ประกอบกิจการในต่างประเทศ

คุณ Guido มั่นใจว่าความโปร่งใสและความรับผิดชอบคือประโยชน์ที่แท้จริงของการออกข้อบังคับเกี่ยวกับการลวงโลกด้านสิ่งแวดล้อมที่สอดคล้องกัน ซึ่งจะใช้ทิศทางเดียวกับโมเดลที่เข้มงวดและอิงตามหลักฐานที่ฝรั่งเศสนำมาใช้:

“วิธีนี้จะทำให้บริษัทมีความน่าเชื่อถือมากขึ้นและยังทำให้บริษัทหลายแห่งวางใจที่จะเปิดเผยจุดยืนของตนเองอย่างโปร่งใสโดยเข้าใจว่านี่ไม่ใช่การลงโทษบริษัท”

นอกจากนี้ ข้อบังคับใหม่ๆ เช่น ข้อบังคับเกี่ยวกับการตัดไม้ทำลายป่าของยุโรป (EUDR) ยังมีข้อกำหนดเกี่ยวกับการตรวจสอบย้อนกลับที่เข้มงวดสำหรับสินค้าโภคภัณฑ์บางประเภท ซึ่งบังคับให้ธุรกิจต้องรับรองว่าซัพพลายเชนของตนเองปฏิบัติตามข้อบังคับและแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดด้าน ESG คุณ Indiana ยังอธิบายถึงผลกระทบในโลกแห่งความเป็นจริงด้วย:

“[EUDR] กำหนดให้เราต้องทราบอย่างชัดเจนว่าสินค้าโภคภัณฑ์ที่เข้าข่ายนั้นผลิตขึ้นมาเมื่อใดและจากที่ไหน และมีการตัดไม้ทำลายป่าหรือทำให้ป่าเสื่อมโทรมหรือไม่ในการผลิตสินค้าโภคภัณฑ์ดังกล่าว เราจำเป็นต้องตรวจสอบย้อนกลับข้อมูลได้ทั้งหมดและรับรองว่าซัพพลายเออร์ของเรา หรือซัพพลายเออร์ของซัพพลายเออร์ ปฏิบัติตามข้อกำหนดที่กฎหมายท้องถิ่นกำหนดไว้"

“นี่กำหนดให้ผู้ประกอบการในสหภาพยุโรปจำเป็นต้องทราบถึงสิ่งที่เกิดขึ้นนอกสหภาพยุโรป และดูแลให้ทุกอย่างเป็นไปตามกฎระเบียบ ไม่ใช่แค่ข้อบังคับด้านสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสิทธิมนุษยชน สิทธิแรงงาน สิทธิในที่ดิน และสิทธิของคนพื้นเมืองอีกด้วย”

สหภาพยุโรปเพิ่งผ่อนผันการปฏิบัติตามข้อบังคับให้อีก 12 เดือน ดังนั้น บริษัทขนาดกลางและขนาดใหญ่อย่างเช่น Ansell จะต้องปฏิบัติตาม EUDR ภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2025

คุณ Nalise ยังสนับสนุนให้ตรวจสอบซัพพลายเชนมากขึ้นด้วย โดยส่งเสริมให้ธุรกิจพิจารณาผลกระทบต่อสังคมของการใช้ที่ดินที่เปลี่ยนไปจากเดิม

“เราจำเป็นต้องเริ่มคำนึงถึงประเด็นนี้จากมุมมองของสังคม เพราะมีคนพื้นเมืองในชุมชนท้องถิ่นที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เหล่านี้ พึ่งพาผืนดินและระบบนิเวศเหล่านี้ในการดำรงชีวิต”


บทบาทของฉลากสิ่งแวดล้อมและการรับรองที่น่าเชื่อถือ

ในตลาดที่มีผู้เล่นมากขึ้นเรื่อยๆ ฉลากและการรับรองด้านสิ่งแวดล้อมจะทำให้ธุรกิจมีข้อได้เปรียบเหนือคู่แข่ง แล้วผู้บริโภคจะไว้ใจฉลากและการรับรองเหล่านี้ได้มากน้อยแค่ไหนกัน

คุณ Nalise กล่าวว่าการรับรองบางส่วนน่าเชื่อถือและช่วยให้ผู้บริโภควางใจ:

“การสานสัมพันธ์กับซัพพลายเออร์และมีปฏิสัมพันธ์กับพวกเขาโดยตรงมีส่วนสำคัญอย่างยิ่ง แต่แน่นอนว่าคุณจะใช้การรับรองที่มีมานานแล้วก็ได้ ตัวอย่างเช่น FSC หรือ Forest Stewardship Council การรับรองเหล่านี้ก็จะช่วยให้คุณตรวจสอบว่าผลิตภัณฑ์ที่ซื้อมาจากแหล่งที่ยั่งยืนหรือไม่”

แต่เห็นได้ชัดว่าความจริงไม่ได้มีเพียงหนึ่งเดียว ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คืออุตสาหกรรมและตลาดต่างๆ ไม่มีกฎระเบียบที่สอดคล้องกันอย่างที่คุณ Indiana ตั้งข้อสังเกต:

“ในปัจจุบันยังไม่มีการรับรองหรือฉลากเพียงหนึ่งเดียวที่สามารถใช้กับทุกอุตสาหกรรมหรือทั่วโลกได้ หรือแม้กระทั่งกับทั้งกลุ่มประเทศสมาชิกของสหภาพยุโรปด้วยซ้ำ มีฉลากสำหรับบ่งชี้มาตรฐานบางอย่าง เช่น ฉลาก Ecolabel และอะไรทำนองนั้น แต่ก็จะให้ข้อมูลแค่เพียงบางส่วนเท่านั้นและฉันก็ไม่แน่ใจว่าผู้บริโภคจะเข้าใจจริงๆ หรือไม่”

บางทีการทดสอบจากบุคคลภายนอกอาจจะช่วยรับประกันว่าทุกคนจะมีโอกาสประสบความสำเร็จเท่าเทียมกันและช่วยให้ธุรกิจปฏิบัติตามมาตรฐานที่เข้มงวดชุดเดียวกันก็ได้ คุณ Guido กล่าวว่าอาจจะไม่ได้ง่ายขนาดนั้น:

“เราควรพิจารณาด้วยว่าการทดสอบจากบุคคลภายนอกบางครั้งอาจจะมีความซับซ้อนมากกว่านั้น คุณต้องเสียเงิน และต้องเสียเวลาด้วย คุณต้องทำงานร่วมกับบุคคลภายนอกเหล่านี้เพื่อขอให้มีการรับรองค่าต่างๆ”


“คุณไม่สามารถใช้ระบบที่สอดคล้องกันทั่วยุโรปโดยอาศัยการทดสอบจากบุคคลภายนอก หากไม่มีการใช้บังคับกฎระเบียบใดๆ คุณก็จะกลับมาเข้าอีหรอบเดิม คือมีค่าทางสิ่งแวดล้อม แต่ไม่ได้รับการรองรับใดๆ”


แล้วทำไม Ansell จึงพยายามทำให้เหนือกว่าข้อกำหนด แล้วเราจะส่งเสริมให้ธุรกิจอื่นๆ ทำตามเราได้อย่างไร

สำหรับคุณ Indiana แล้ว สิ่งสำคัญก็คือภารกิจหลักของเราในการปกป้องผู้คน:

“เราเป็นธุรกิจเพื่อความปลอดภัย เราจึงต้องสรรหาวิธีคงระดับความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์เอาไว้หรือยกระดับความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ของเราหรือความปลอดภัยต่อผู้ใช้อยู่เสมอ เห็นได้ชัดว่าจุดยืนในตลาดทำให้เราต้องปฏิบัติตามและคาดการณ์แนวโน้มต่างๆ”

คุณ Guido ยังกล่าวเสริมด้วยว่าการสร้างความไว้วางใจและการตอบโจทย์ความคาดหวังของลูกค้ายังช่วยสนับสนุนเป้าหมายข้อนี้:

“ในฐานะผู้นำด้าน PPE ระดับโลก เราต้องทำหน้าที่เป็นตัวเอง เพราะองค์กรเล็กๆ จะปฏิบัติตามเราเสมอ ผู้บริโภคของเราก็มีวัตถุประสงค์ของตนเองและจะขอให้บริษัทต่างๆ เช่น Ansell ดำเนินการด้านความยั่งยืนในลักษณะที่พวกเขาคาดหวัง”


ส่วนในวงกว้าง การใช้ระบบฉลากด้านสิ่งแวดล้อมที่สอดคล้องกันมากขึ้นจะส่งผลกระทบต่ออย่างไร คุณ Nalise กล่าวอย่างชัดเจนว่าการช่วยให้ธุรกิจและผู้บริโภคตัดสินใจโดยอาศัยข้อมูลที่ครบถ้วนมีความสำคัญอย่างยิ่ง

“การสร้างระบบฉลากด้านสิ่งแวดล้อมและหนังสือเดินทางสินค้าจะทำให้ผู้บริโภค ทั้งแบบ B2B หรือ B2C ตรวจสอบค่าต่างๆ ได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม แต่ท้ายที่สุดแล้ว เราทุกคนก็ต้องการตัดสินใจโดยอาศัยข้อมูลที่ครบถ้วนด้วย และในตอนนั้น ฉันจะเห็นการเปลี่ยนแปลงมากมายเกิดขึ้น รวมทั้งเห็นการให้ความสำคัญของ PPE ที่จะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในแนวปฏิบัติด้านความยั่งยืน”


การปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างต่อเนื่องและความสำคัญของการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง

เราทุกคนล้วนทราบเป็นอย่างดีว่าสำหรับ PPE และความปลอดภัยแล้ว การปฏิบัติตามกฎระเบียบเป็นสิ่งที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง หลังจากผลิตภัณฑ์ผ่านการรับรองแล้ว คุณต้องรับประกันว่าค่าทั้งหมดจะต้องเป็นความจริงอยู่เสมอและต้องตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอด้วย

คุณ Nalise แนะนำให้กำกับดูแลเชิงกลยุทธ์อย่างชัดเจนก่อนจะใช้แผนที่ทะเยอทะยานมากขึ้น

“ก่อนจะพยายามทำตามข้อกำหนดให้ได้ทุกข้อ ให้ลองหาสิ่งที่คุณจำเป็นต้องทำจริงๆ ก่อน [เพื่อจะได้ปฏิบัติตามกฎระเบียบอยู่เสมอ] ไม่ว่าจะเป็นการร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญหรือบุคลากรในบริษัทที่คุณได้ข้อมูลดังกล่าวมา คุณแค่ต้องมั่นใจว่าต้องติดตามดูอะไร”


ทำนายอนาคตอันใกล้นี้

สุดท้ายนี้ แนวโน้มและอุปสรรคหลักที่น่าจะกระทบต่อธุรกิจในอนาคตอันใกล้นี้มีอะไรบ้าง การคาดการณ์ของพวกเขาสรุปได้ดังนี้:

ข้อบังคับที่กำลังจะประกาศใช้:

หนังสือเดินทางดิจิทัลของสินค้า:

หนังสือเดินทางดิจิทัลของสินค้า ช่วยส่งเสริมการรีไซเคิล PPE และนำกลับมาใช้ซ้ำหรือซ่อมแซม โครงการนี้มีเพื่อเป้าหมายในการปรับปรุงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของ PPE ด้วยการจัดการวัสดุอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

สารที่ควรระมัดระวังอย่างสูง (SVHC):

มีการให้ความสำคัญกับการกำกับดูแลสารที่ควรระมัดระวังอย่างสูง (SVHC) ที่ใช้ใน PPE ในบางภูมิภาค อย่างเช่น รัฐอินเดียนา ก็กำลังจะมีการจำกัดการผลิต SVHC บางประเภท ทำให้ผลิตภัณฑ์ PPE บางประเภทอาจจะได้รับการยกเว้น

เลิกใช้คำแนะนำในการใช้งานแบบกระดาษ:

ในปี 2023 คณะกรรมาธิการยุโรป (EC) ได้ยกเลิกข้อกำหนดที่บังคับให้ผลิตภัณฑ์ PPE ต้องมีเอกสารคำแนะนำการใช้งาน (IFU) ฉบับกระดาษ ซึ่งเป็นการปูทางให้ผู้ผลิตอย่าง Ansell เปลี่ยนมาใช้ IFU แบบดิจิทัลเต็มรูปแบบ

IFU แบบดิจิทัลจะช่วยประหยัดกระดาษและลดขยะของทุกคน การเปลี่ยนแปลงนี้มีความสำคัญเนื่องจากมีการใช้กระดาษอย่างต่ำ 45,000 ตันเป็นประจำทุกปีเพื่อผลิต IFU ฉบับกระดาษสำหรับ PPE ในยุโรป